Home Health วิธีดีท็อกซ์แบบผิดๆ ส่งผลเสียต่อร่างกาย อันตรายถึงชีวิต

วิธีดีท็อกซ์แบบผิดๆ ส่งผลเสียต่อร่างกาย อันตรายถึงชีวิต

0
วิธีดีท็อกซ์แบบผิดๆ ส่งผลเสียต่อร่างกาย อันตรายถึงชีวิต

ใครที่เริ่มมีอาการท้องอืด และขับถ่ายยาก อย่ามองข้ามปัญหาสุขภาพพื้นฐานไป เพราะหากปล่อยไว้นานวันเข้า ปัญหาจากระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่ายนี้อาจก่อให้เกิดโรคร้ายอย่างมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้เลยทีเดียว การดีท็อกซ์ร่างกายจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น และควรรู้ไว้ แต่สิ่งสำคัญคือ วิธีการทำดีท็อกซ์ที่ถูกต้อง เพราะหากคุณเลือก วิธีดีท็อกซ์แบบผิดๆ ก็อาจจะทำให้เกิดอันตราย และส่งผลเสียให้กับร่างกายจนถึงแก่ชีวิตได้ จะมีวิธีในการดีท็อกซ์อะไรบ้างที่เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง และต้องระวัง ไปติดตามกันได้ในบทความชิ้นนี้เลย


วิธีดีท็อกซ์แบบผิดๆ คืออะไร มีวิธีไหนบ้างที่ไม่ถูกต้อง วิธีดีท็อกซ์แบบผิดๆ คืออะไร มีวิธีไหนบ้างที่ไม่ถูกต้อง

เพื่อให้ผู้อ่านทุกคนมีฐานความรู้เกี่ยวกับการดีท็อกซ์ที่เท่าเทียมกัน เบื้องต้นจะขออธิบายก่อนว่าดีท็อกซ์คืออะไร ดีท็อกซ์คือการล้างสารพิษ และทำความสะอาดลำไส้ โดยมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นวิธีการรับประทาน เพื่อเพิ่มไฟเบอร์ในกระเพาะ และทำให้ก้อนอุจจาระมีมวล และน้ำที่ช่วยเพิ่มน้ำหนัก รวมถึงความคล่องในการขับถ่ายได้ดียิ่งขึ้น หรือจะเป็นรูปแบบของการสวนลำไส้ถือได้ว่าเป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการล้างลำไส้จริงจัง ซึ่งหากเจาะลึกลงรายละเอียดแล้ว การสวนทวารนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว หรือมีขั้นตอนยุ่งยากแต่อย่างใด 

หากเป็นการรับประทาน หรือดื่มผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการดีท็อกซ์เข้าร่างกาย หลายคนมีความเชื่อว่าจะต้องอดอาหาร หรือห้ามดื่มอะไรก่อนหน้านั้น นี่ถือเป็นวิธีดีท็อกซ์แบบผิดๆ ที่อยู่กับวงการคนรักสุขภาพมาอย่างยาวนาน เนื่องจากการดีท็อกซ์เป็นการล้างสารพิษ และกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย การที่คุณไม่รับประทานอะไรมาก่อนเลย หรือไม่ดื่มน้ำ จะทำให้ดีท็อกซ์ทำงานได้ไม่เต็มที่ เพราะในรูปแบบของการรับประทานดีท็อกซ์เข้าไป ต้องดื่มน้ำให้มาก เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึม และเสริมระบบขับถ่ายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 

ในรูปแบบของการสวนทวารเองก็มีวิธีดีท็อกซ์แบบผิดๆ ที่ถูกฉายซ้ำ และทำกันอย่างแพร่หลาย นั้นคือการซื้ออุปกรณ์มาเอง และทำดีท็อกซ์เองที่บ้าน อันที่จริงแล้วการดีท็อกซ์ด้วยตัวเองเป็นเรื่องที่ทำได้ เพียงแต่ต้องระมัดระวังเรื่องของความสะอาด และเลือกซื้ออุปกรณ์ที่มีคุณภาพจริง ๆ หากไม่แน่ใจ หรือไม่เคยทำดีท็อกซ์มาก่อน วิธีการดีท็อกซ์ด้วยตัวเอง อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่คุณจะลองทำกัน


ดีท็อกซ์กินทุกวันได้ไหม

หากสิ่งสกปรก และสารพิษในร่างกายไม่สามารถถูกขับออกมาได้ ทำให้สิ่งสกปรกเหล่านั้นไปรวมตัวกันอยู่บริเวณต่าง ๆ ของร่างกายจนกลายเป็นไขมันสะสมในพื้นที่ยอดนิยมอย่าง ต้นแขน, ต้นขา, หน้าท้อง หรือน่อง แต่พื้นที่ที่อันตราย และยากจะมองเห็นได้อย่างลำไส้ นี่คือพื้นที่สีแดง เพราะยิ่งมีการสะสมมาก ไม่ได้ถูกทำความสะอาดก็จะทำให้สถานการณ์บานปลายจนกลายเป็นมะเร็งลำไส้ได้ 

สำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูกบ่อย อุจจาระแข็ง และแห้งจนทำให้ลำบาก หรือจะเป็นมีปัญหากับระบบขับถ่ายที่ไม่สามารถขับถ่ายได้ตามปกติ หากกำลังเผชิญกับปัญหาตามข้างต้นนี้ การดีท็อกซ์ด้วยกาแฟ เลือกรับประทานผลิตภัณฑ์ดีท็อกซ์ หรือการกินผักและผลไม้ให้มากขึ้น สามารถช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ เนื่องจากสิ่งที่รับประทานเข้าไปมีไฟเบอร์ที่เป็นกากใยอาหาร ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเพิ่มมวลน้ำหนัก และเพิ่มสภาพคล่องในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี

แต่ในกรณีที่รับประทานดีท็อกซ์ในทุก ๆ วัน โดยที่ไม่มีสาเหตุ หรือปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย นี่อาจไม่เป็นที่แนะนำนัก เนื่องจากการรับประทานดีท็อกซ์มากเกินความจำเป็น อาจทำให้ระบบการขับถ่ายของร่างกายเกิดความเสื่อมสภาพ หรือไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่มากนัก เนื่องจากถูกแทรกแซงการขับถ่ายด้วยดีท็อกซ์อยู่ตลอดในทุกวัน หากคำถามของคุณคือ ดีท็อกซ์กินทุกวันได้ไหม สามารถตอบให้ชัดเจนได้ว่า ไม่ได้ และไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย


กินดีท็อกซ์ตอนไหนดีที่สุด

กินดีท็อกซ์ตอนไหนดีที่สุด

คาดว่าในตอนนี้ผู้อ่านน่าจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับการทานดีท็อกซ์ขึ้นมาได้ดียิ่งขึ้น และรู้ถึงประโยชน์ของการดีท็อกซ์กันเป็นอย่างดีแล้ว ในการทานดีท็อกซ์นั้นมีคำแนะนำทางการแพทย์ว่าควรรับประทานดีท็อกซ์ในช่วงก่อนนอน เพื่อให้ตอนตื่นนอนมานั้น ร่างกายสามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้เลย เนื่องจากช่วงระยะเวลาที่หลับอยู่นั้นดีท็อกซ์จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย และทำให้มวลของอุจจาระมีน้ำหนักพร้อมสำหรับการถ่ายของเสียออกได้พอดี

ถ้าถามเพิ่มเติมว่าสามารถรับประทานในช่วงเวลาอื่นได้หรือไม่ จริง ๆ แล้วสามารถเลือกรับประทานในเวลาใดก็ได้ เพียงแต่ช่วงเวลาตอนเช้าหลังจากตื่นนอนนั้นเป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายท้องมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นการฝึกนิสัยให้กับร่างกายได้ขับถ่ายอย่างเป็นระบบอีกด้วย ในกรณีที่ไม่ได้กินดีท็อกซ์แล้ว ร่างกายก็จะยังจำได้ว่าพฤติกรรมแรกหลังจากที่ตื่นนอนคือการขับถ่ายนั้นเอง ในตอนนี้คุณก็จะได้รู้แล้วว่ากินดีท็อกซ์ตอนไหนดีที่สุด


5 ผลไม้ช่วยดีท็อกซ์ลําไส้ ธรรมชาติ

5 ผลไม้ช่วยดีท็อกซ์ลําไส้ ธรรมชาติ

ได้รู้เกี่ยวกับ วิธีดีท็อกซ์แบบผิดๆ กันไปแล้ว และเห็นภาพรวมของการทานดีท็อกซ์ที่ถูกต้องกันไปเบื้องต้นแล้ว ในเนื้อหาส่วนนี้จะเป็นการแนะนำวิธีการดีท็อกซ์ลําไส้แบบธรรมชาติด้วยผลไม้ ว่ามีผลไม้ชนิดใดบ้างที่เหมาะสมในฐานะของการช่วยดีท็อกซ์ ช่วยเพิ่มไฟเบอร์ ไปพร้อม ๆ กับการให้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ในบทความนี้ได้รวมผลไม้ที่หาซื้อได้ง่าย และราคาย่อมเยา เพื่อให้ผู้อ่านทุกคนสามารถนำไปปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ในการรับประทานอาหารกันได้แบบจริง ๆ 

1. เสาวรส 

กลายเป็นผลไม้ขึ้นชื่อทันที เมื่อประเด็นที่พูดถึงคือการดีท็อกซ์ลำไส้ เนื่องจากเสาวรสเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์ค่อนข้างสูงมากที่สุดชนิดหนึ่ง ในเสาวรสมีไฟเบอร์ปริมาณ 10 กรัม และจุดเด่นของผลไม้ชนิดนี้ไม่ได้มีดีแค่ไฟเบอร์สูง เพราะอันที่จริงแล้วเป็นผลไม้ที่พ่วงวิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายไว้ค่อนข้างหลากหลายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซีที่ช่วยกู้ปัญหาผิวคล้ำเสียง่าย สีผิวไม่สม่ำเสมอ ให้สามารถกลับมาขาวกระจ่างได้อีกครั้ง, แมกนีเซียมที่มีส่วนช่วยในเรื่องการเผาผลาญ และลดไขมันในเส้นเลือดได้อีก หรือแม้แต่ฟอสฟอรัส และแคลเซียมที่จะทำให้มวลกระดูกของคุณแข็งแรง นี่เป็นข้อดีที่จะได้รับจากการทานเสาวรส 

2. มะขาม 

มะขามจัดเป็นผลไม้ที่เลื่องชื่ออย่างแพร่หลายในเรื่องการออกฤทธิ์ใกล้เคียงกันกับยาระบายอ่อน ๆ ถ้าปัญหาของคุณคือการขับถ่ายยาก และมีปัญหากับอุจจาระแข็งเป็นพิเศษ คาดว่ามะขามน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีที่ทำให้คุณสามารถแก้ไขปัญหาสุขภาพนี้ไปได้ ความน่าสนใจเพิ่มเติมที่อยากให้คุณได้รู้จากผลไม้ชนิดนี้คือ ส่วนประกอบต่าง ๆ ของมะขามนั้นสามารถเป็นประโยชน์กับร่างกายได้แทบทั้งสิ้น 

ทั้งเปลือกมะขามที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ตัวการที่จะทำให้ผิวพรรณของมนุษย์นั้นแก่ก่อนวัย และตัวเร่งให้ผิวเสื่อม, เนื้อมะขามที่มีสาร AHA ที่ทำให้คุณน่าจะคุ้นเคยกับสครับมะขาม หรือครีมขัดผิวขาวที่มีจุดเด่นอย่างมะขามเป็นส่วนผสมหลัก นั่นก็เพราะสาร AHA ในมะขามสามารถขัดให้ผิวดูขาวกระจ่างใส และผิวสวยเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ หรือจะเป็นด้านของเนื้อฝักที่จะเป็นตัวช่วยลดไข้ และลดอาการไอของผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี

3. ฝรั่ง 

ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ในด้านการเสริมใยอาหาร เพื่อให้ผู้รับประทานสามารถขับถ่ายได้ง่าย และสะดวกยิ่งขึ้น นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันดี แต่น้อยคนนักที่จะรู้จุดเด่นของฝรั่งจริง ๆ เนื่องจากฝรั่งยังสามารถช่วยสมานแผลในกระเพาะ หรือช่องท้องได้อีกด้วย นอกจากนี้แล้วยังมีสารแทนนินที่ช่วยลดโอกาสในการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อโรคได้ด้วย ใครที่ชอบทานยำ หรืออาหารที่มีความดิบ และกลัวเรื่องเชื้อโรค การรับประทานฝรั่งเป็นของว่าง หรือของหวานตบท้ายจัดได้ว่าเป็นไอเดียที่ดูดีไม่น้อย 

ในฝรั่งนั้นยังมีวิตามินซีในปริมาณที่สูงมาก วิตามินซีในฝรั่งสามารถที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเลือดออกตามไรฟันได้ พร้อมกับการบำรุงเหงือก และช่องปาก ยิ่งไปกว่านั้นแล้วยังมีวิตามินบีรวมที่มีสรรพคุณหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นช่วยสร้างเสริมระบบประสาท และทำให้ระบบความจำดียิ่งขึ้น 

4. กล้วย 

กล้วยเป็นผลไม้ที่มีพรีไบโอติกส์ ทำให้เมื่อคุณได้รับประทานกล้วยเข้าไปแล้วจะช่วยเพิ่มกากใยอาหาร และยังส่งเสริมระบบย่อยอาหารให้กลับมาทำงานได้อย่างสมดุล ยิ่งไปกว่านั้นแล้วกล้วยที่มีผลดิบมีสรรพคุณแก้ท้องผูก พร้อมกับช่วยบรรเทาอาการให้เบาบางลงได้อีกด้วย 

กล้วยยังถูกจัดเป็นสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ในการรักษาแผลไฟไหม้, ผิวโดนลวก และผิวอักเสบได้ในเวลาเดียวกัน ถือได้ว่าเป็นมิติใหม่ของคุณสมบัติที่ครบ และรอบด้านมากสำหรับผลไม้กากใยสูงชนิดนี้ 

5. กีวี 

ผลไม้ที่หลายคนโปรดปราน เพราะรสชาติที่มีทั้งความเปรี้ยว และหวานในเวลาเดียวกัน ถึงผลไม้ชนิดนี้อาจจะมีปริมาณไฟเบอร์ที่ไม่สูงเท่ากับผลไม้ก่อนหน้า แต่สิ่งที่น่าพูดถึงสำหรับกีวีคือปริมาณพลังงานที่ให้ต่อผลเพียง 25 แคลอรีเท่านั้น ทำให้คุณสามารถรับประทานได้แบบหายห่วง ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักตัวที่จะเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

ที่สำคัญคือผลไม้ชนิดนี้ได้รวบรวมวิตามินที่ดีต่อร่างกายไว้มากมาย ทั้งวิตามินซี, วิตามินอี, โอเมก้า 3, โพลีฟีนอล, โฟเลต, โพแทสเซียม และอื่น ๆ อีกมาก ที่ไม่น่าเชื่อว่าผลไม้ลูกเล็ก ๆ ที่ให้พลังงานเพียง 25 แคลอรีจะสามารถมอบประโยชน์ให้กับร่างกายได้อย่างหลากหลาย ใครที่คิดว่ากีวีเป็นแค่ผลไม้ทานเล่น และได้ประโยชน์ไม่เท่าผลไม้ชนิดอื่น อาจจะต้องคิดใหม่กันอีกครั้ง 

ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับทั้งวิธีดีท็อกซ์แบบผิดๆ และสิ่งที่ควรรู้หากคุณกำลังสนใจในการรับประทานดีท็อกซ์ อย่าง กินดีท็อกซ์ตอนไหนดีที่สุด, ดีท็อกซ์กินทุกวันได้ไหม รวมไปถึงรายการผลไม้ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ เพื่อให้สามารถทำดีท็อกซ์ล้างพิษได้ง่าย และเสริมระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น เหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับโรคท้องผูก หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย เพราะผลไม้พวกนี้สามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุด พร้อมกับการเสริมสุขภาพในด้านอื่น ๆ ไปด้วยในเวลาเดียวกัน 


อ้างอิง

Last Updated on 1 year

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save